HOTLINE: +6684 522 2429
+6661 156 5453
Your Smile, Our Inspiration
รับจัดกรุ๊ปทัวร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ,
กรุ๊ปเหมาหมู่คณะหรือส่วนตัว, ดูงานสัมมนา,
อีเว้นท์ (Event), จัดกิจกรรมนอกสถานที่ Walk Rally
รังสรรค์งานโดยทีมงานมืออาชีพ
India | อินเดีย
เมืองชัยปุระ หรือจัยปูร์ เป็นที่รู้จักกันดีในนามของเมืองสีชมพู โดดเด่นไปด้วยพระราชวังที่มีสีสันชมพูพาสเทล เป็นเมืองในรัฐราชาสถาน มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย เช่น Jal Mahal, Hawa mahal, City Palace, Jantar Mantar, Sawai Man Singh Town Hall เป็นต้น การเดินทางไม่ต้องกังวลจากไทยมีบินตรงมายังเมืองนี้ เช่น การบินไทย และ แอร์เอเชีย
ขอยกให้ “Hawa Mahal (พระราชวังสายลม)” เป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตของเมืองชัยปุระกันไปเลย ที่ไม่ว่าใครจะมาทัวร์ หรือมาเที่ยวเองก็เป็นอันต้องจดลิสต์ที่เที่ยวนี้เข้าไปในลิสต์กันทั้งนั้น เพราะนอกเหนือจากการเป็นแลนด์มาร์ค ยังงดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบอินเดียขนานแท้ ถูกทาด้วยสีชมพูน่ารักๆ จุดเด่นจะอยู่ที่ด้านหน้าของตัวอาคารที่จะมีหน้าบันประมาณ 5 ชั้นด้วยกัน การออกแบบสถาปัตยกรรมได้นำมาจากมงกุฎของพระนารายณ์ มีลายฉลุงดงาม ซึ่งลายฉลุนั้นๆ ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนในพระราชวังสามารถมองออกมาเห็นวิว หรือกิจกรรมบนท้องถนนภายด้านนอกพระราชวังกันได้
พระราชวังซิตี้พาเลซ (City Palace of Jaipur) เชื่อว่าถ้าใครที่กำลังมีแพลนจะไปเที่ยวที่เมืองชัยปุระ แล้วหาข้อมูลของที่เที่ยวเมืองนี้มา จะต้องสะดุดตากับห้องสีน้ำเงินแสนสวยอย่างแน่นอน ซึ่งก็ใช่แล้ว! ห้องสีน้ำเงินที่ใครหลายๆ คนเห็นนั้น เป็นส่วนหนึ่งของห้องในพระราชวังซิตี้พาเลซนั่นเอง ความพิเศษของพระราชวังนี้ คือจะมีห้องหับอันสวยงาม และยังคงเป็นที่อยู่ของบรรดาราชวงศ์ แต่ก็จะมีการเปิดบางส่วนให้เข้าชมด้วยเช่นกัน สนนราคาตั๋วจะมีแบบธรรมดาที่เข้าไปแต่ด้านนอกคือ 500 รูปี หรือถ้าใครอยากถ่ายรูปกับห้องสวยๆ รวมห้องสีน้ำเงินด้วยนั้น จัดไปที่ราคา 3,000 รูปี แต่บอกเลยว่าเกินคุ้ม
ถึงแม้ว่า “Amber Fort and Palace (พระราชวังแอมเบอร์)” จะไม่ได้ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองชัยปุระ แต่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางเหนือประมาณ 11 กิโลเมตร แต่ก็คุ้มค่ากับการเดินทางไปชม เพราะว่าเป็นพระราชวังหนึ่งในแลนด์มาร์คที่ไม่ควรพลาด และมีความงดงามเป็นอย่างมาก ซึ่งแต่เดิมทีพระราชวังแอมเบอร์ เคยเป็นป้อมปราการเมื่อสมัยศตวรรษที่ 11 มาก่อน ในส่วนของความสวยงาม และสถาปัตยกรรมมีความงดงามมาก เป็นแบบราชปุต และโมกุลผสมกัน แนะนำให้เตรียมชุดโทนสีแดง เหลือง หรือน้ำเงินมาก็จะตัดกับสีของพระราชวังที่จะออกเป็นสีเหลืองซีดๆ
Panna Meena Ka Kund Stepwells ใครอยากมีรูปสวยๆ กับบ่อน้ำแบบขั้นบันได แนะนำให้มาที่นี่เลย เพราะว่าเป็นจุดแลนด์มาร์คยอดฮิต ที่คนส่วนใหญ่นิยมมาถ่ายรูปกัน ลักษณะก็จะเป็นบ่อน้ำที่ด้านล่างสามารถเดินลงไปตักน้ำได้ แต่ทว่าตอนนี้มียามเฝ้า จึงไม่สามารถเดินลงไปถ่ายรูปได้สะดวก แต่ถ้าหากใครอยากถ่ายรูปจริงๆ แนะนำว่าให้ลองติดสินบนสัก 100 รูปีก็พอ รับรองว่าได้รูปสวยๆ กลับมาอย่างแน่นอน เป็นอีกหนึ่งบ่อน้ำเก่าแก่ ที่ถ่ายรูปออกมาแล้วจะชิค และสวยมากๆ
ป้อมนาหรครห์ (Nahargarh Fort) หากใครมีเวลาอยากให้ลองแวะมาถ่ายรูป และชมสถาปัตยกรรมสวยๆ ที่ “ป้อมนาหรครห์ (Nahargarh Fort)” ป้อมนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1734 บางคนก็จะเรียกป้อมนี้ว่า Tiger Fort ตัวป้อมเองนอกจากจะถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องเมืองชัยปุระจากการรุกรานของข้าศึก ยังมีห้องฮับมากมายของกษัตริย์ และนางสนมทั้ง 9 ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความวิจิตรงดงามยิ่งนัก นอกจากความงดงามของสถาปัตยกรรมแล้ว วิวที่คุณจะสามารถมองเห็นได้จากป้อมแห่งนี้ก็งดงามไม่แพ้กัน นับว่าเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่อยากจะแนะนำให้ต้องไป!
พระตำหนักมูบารักมาฮาล (Mubarak Mahal) หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ เวลคัมพาเลซ (Welcome Palace) เป็นพระตำหนักอันเก่าแก่ ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1899 เพื่อใช้ในการต้อนรับแขกที่เข้ามาเยือนยังเมืองนี้ สำหรับสถาปัตยกรรมของพระตำหนักแห่งนี้ได้สร้างขึ้นโดยผสมผสานระหว่างราชปุต อิสลาม และอังกฤษผสมๆ กัน สำหรับคนที่อยากถ่ายรูป จะสามารถถ่ายได้แค่ข้างนอกเท่านั้น เพราะว่าด้านในจะเป็นพิพิธภัณฑ์ ไม่สามารถถ่ายรูปได้
หลังจากที่แวะไปถ่ายรูปที่ พระตำหนักมูบารักมาฮาล (Mubarak Mahal) กันเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมแวะมาที่ Jal Mahan (พระราชวังน้ำ Water Palace) เป็นอีกหนึ่งที่อยากแนะนำให้มาถ่ายรูปกัน เพราะเป็นพระราชวังที่ทั้งมีความสำคัญ และสวยงามมาก ตั้งอยู่กลางทะเลสาบมันสกา แห่งเมืองชัยปุระ ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขานหาร์การห์ ทำให้พระราชวังน้ำแห่งนี้มีวิวที่สวยงามอลังการยิ่งนัก ซึ่งถึงแม้ว่าตัวพระราชวังไม่ได้เปิดให้เข้าชม แต่ก็สามารถไปถ่ายรูปบริเวณโดยรอบพระราชวังได้ รับรองว่าสวยจนแทบลืมหายใจเชียวหล่ะ
Wind View Cafe เป็นคาเฟ่ที่ใครอยากได้รูปสวยบอกเลยว่าต้องมา! เพราะเป็นจุดเช็คอินที่เหมาะกับการถ่ายรูปมากๆ เนื่องจากคาเฟ่แห่งนี้ได้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ Hawa Mahal เลยจ้า คนส่วนมากเลยแห่มาที่คาเฟ่นี้ เพราะหวังว่าจะได้รูปคู่สวยๆ กับพระราชวังสายลมนั่นเอง และอย่างที่เป็นคาเฟ่แห่งนี้ก็ไม่ทำให้คุณผิดหวัง หลังจากขึ้นไปแล้วก็จะได้เห็นวิวพระราชวังในมุมสูงแบบเต็มๆ ใครอยากได้ฉากหลังเป็นพระราชวังสายลมสุดอลังการ แนะนำปักหมุดคาเฟ่นี้ไว้ด่วนเลย
อยากจะขอบอกว่าที่เมืองชัยปุระนั้นมีดีแม้กระทั่งประตู! ใช่แล้ว ฟังไม่ผิดหรอก ที่ใครๆ ก็ต่างนำลิสต์ของ “ประตูปาตริกา (Patrika Gate)” เอามาใส่ไว้ในที่เที่ยวที่ควรมา เพราะว่าประตูแห่งนี้มีความสวยงามมาก เป็นประตูเมืองชัยปุระในอันดับที่ 9 ตั้งอยู่ที่ วงเวียนจาวาฮาร์ (Jawahar Circle) ประกอบไปด้วย 7 ซุ้มประตู ภายในแต่ละซุ้มจะมีการเขียน และวาดลวดลายสวยงามเหมาะกับการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นยังมีความเชื่อว่าประตูเลข 9 นี้ เป็นเลขศักดิ์สิทธิ์ แตกต่างจากประตูอื่นๆ ทั่วไป
Rambagh Palace หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นหูกับชื่อของ “Rambagh Palace” ที่แต่เดิมทีเคยเป็นพระราชวัง และได้ดัดแปลงมาเป็นโรงแรมในทุกวันนี้ ถือว่าเป็นโรงแรม 6 ดาวที่ราคาแพงที่สุดในชัยปุระ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคุ้มค่ากับความงดงาม และอลังการ จากเซอร์วิสที่จะได้รับ คนส่วนมากนิยมเข้าไปในโรงแรมนี้เพื่อถ่ายรูป เพราะจะมีส่วนของห้องอาหาร ที่เปิดให้คนนอกเข้าไปกินอาหาร หรือว่านั่งจิบชา Afternoon Tea ได้ แนะนำว่าถ้าใครอยากถ่ายรูป ให้ลองไปนั่งจิบชายามบ่ายดู บอกเลยว่าเกินคุ้มราคาจริงๆ
ย้ายมาที่เมืองอัครากันบ้าง เชื่อเลยว่าใครที่ไปเยือนเมืองชัยปุระ ก็ย่อมต้องข้ามมาเที่ยวที่เมืองอัครากัน เพราะว่าสามารถเดินทางไปถึงกันได้ ไม่ไกลมากนัก สำหรับป้อมอัครา (Agra fort) หรือที่หลายคนเรียกกันว่าป้อมแดงนั้น เป็นพระราชวังขนาดใหญ่ และอลังการมาก ใช้เวลาสร้างนานหลายปี นอกเหนือจากความงดงามของป้อมอัครา สถานที่แห่งนี้ยังเป็นป้อมที่เอาไว้ใช้คุมขังกษัตริย์ซาจาร์ฮาล ผู้ซึ่งเป็นคนสั่งให้สร้างทัช มาฮาลขึ้นมา โดยกษัตริย์ ออรงเซป ผู้เป็นพระโอรส โดยภายในป้อมนี้จะสามารถมองเห็นไปถึงยังทัช มาฮาลได้นั่นเอง
ใครๆ ก็อยากมาเที่ยวเมืองอัครา เพราะอยากมาชมความสวยงาม และความยิ่งใหญ่ของทัชมาฮาล (Taj Mahal) หนึ่งในแลนด์มารค์ และสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ซาจาร์ฮาล ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักให้แก่ พระนางมุมตัช มาฮาล โดยใช้เงินมากมายมหาศาล เพื่อสร้างสุสานหินอ่อนอันสวยงามนี้ขึ้นมา เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของอัครา ที่เชื่อว่าไม่มีใครที่จะพลาดมาเยือน แนะนำถ้าใครอยากถ่ายรูปให้ไม่ติดคน ให้ไปในช่วงเช้ามืด
แม้แต่มัสยิดก็ยังสวย! ใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เมืองอัครา อยากจะชวนให้ไปถ่ายรูปที่ “มัสยิดจามา (Jama Masjid)” หรือว่าที่คนอินเดียเรียกว่า มัสยิดใหญ่แห่งเดลีเก่า สำหรับมัสยิดแห่งนี้ก็มีความเก่าแก่มาก เพราะว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 กันเลยทีเดียว โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงาม และปราณีต สวยงามทุกมุมมอง นอกจากจะสวยงามแล้วนั้น ยังเป็นศาสนสถานที่สามารถจุคนได้มากมาย และสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่งของเมืองอัครา
ถัดจากเมืองสีชมพู เราก็ไปต่อที่เมืองสีฟ้ากันเลย จอร์ดปูร์หรือจอร์ดปูระ เป็นเมืองในราชาสถานอีกเช่นกัน อยู่ใกล้เคียงกับชัยปุระ หากนั่งรถไฟจากชัยปุระไปจอร์ดปูร์ จะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง จอร์ดปูร์เป็นเมืองที่สวยมาก ๆ และเพราะยังไม่ถือเป็นเมืองฮิตสำหรับคนไทย ทำให้เราจะไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวไทยที่นั่น แต่จะเจอชาวต่างชาติมากมาย เมืองนี้เป็นเมืองหน้าด่านทะเลทรายธาร์ อากาศค่อนข้างร้อน แม้ในหน้าหนาวกันยังรู้สึกถึงความร้อนของแดด แต่ในหน้าหนาวจะไม่ร้อนเท่าหน้าร้อน ดังนั้นหากคิดจะไปเมืองนี้ในหน้าร้อนขอแนะนำให้เตรียมครีมกันแดดไปด้วยค่ะ
ป้อมเมห์รานการ์ห Mehrangarh Fort เป็นป้อมปราการเมห์รานการห์และพระราชวังที่มีความยิ่งใหญ่ติดอันดับทั้งในอินเดียและติดอันดับโลกด้วย มีความสวยงามและเก็บสิ่งของเครื่องใช้จัดแสดงไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้ชม ภายตัวอาคารยังรักษาห้องต่างๆ
อนุสรณ์สถาน Jaswant Thada ตั้งอยู่ห่างจากป้อมเมห์รานการห์ ไปประมาณ 1 กิโลเมตร สร้างจากหินอ่อน ที่ประตูและเสาแกะสลักลวดลายได้ละเอียดอ่อนและงดงาม ภายในมีสวนเล็กๆ อนุสรณ์นี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1899 เพื่ออุทิศให้กับมหาราชาจัสวันต์ ซิงห์ที่ 2 (Maharaja Jaswant Singh II) หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว 4 ปี โดยเป็นมหาราชาที่ได้การนับถือจากประชาชนมากมาย
พระราชวังอูเมดบาห์วัน Umaid Bhawan Palace พระราชวังแห่งนี้สร้างโดยมหาราชาอูเมด ซิงค์ สร้างจากหินทรายสีน้ำตาลอ่อนโดยตัดหินเป็นบล๊อกแล้วมาล๊อคกันโดยไม่ใช้ปูน ผสมผสานศิลปแบบเชนกับราชปุต แต่ด้านในตกแต่งแบบยุโรป แบ่งส่วนเป็นพิพิธภัณฑ์และโรงแรม5ดาว
หอนาฬิกา Clock Tower หอนาฬิกาไม่ได้เป็นแค่landmark แต่เป็นตลาดท้องถิ่นที่หากมีเวลาควรมาเดินเที่ยวเพื่อสัมผัสวิถีชุมชนท้องถิ่น และเป็นแหล่งช๊อปปิ้งสารพัดสิ่งตั้งแต่เสื้อผ้า ของใช้ในครัวเรือน ผัก ผลไม้ เครื่องเทศ ใบชา ขนมของว่าง เวลาที่เหมาะมาเดินเล่นคือช่วงเย็นไปจนถึงประมาณ2ทุ่ม ช่วงกลางวันจะมีร้านขายออมเล็ทขึ้นชื่ออยู่ไม่ไกล ของขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของจ๊อดปูร์ที่ห้ามพลาดเลยคือคาโชรี่ Kachori ของว่างยอดนิยมของคนอินเดีย
โฉบออกจากรัฐราชาสถาน ไปที่เมืองหลวงของอินเดียอย่าง
นิวเดลี ตัวผู้เขียนก็ไม่ค่อยเข้าใจทำไมหลายคนมองข้ามนิวเดลี จริง ๆ เมือง ๆ นี้ทั้งเที่ยวง่าย ที่เที่ยวเยอะ เช่น India gate, Jama Mosque, Red fort, Agrasen ki baoli เป็นต้น ที่สำคัญยังเป็นเมืองทีเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย การเดินทางจากไทยมีบินตรงหลายสายการบินเลยค่ะ เช่น การบินไทย นกสกู๊ด สไปร์เจ็ท แอร์อินเดีย เป็นต้น และภายในเมืองก็ยังเต็มไปด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นเมืองที่มีสายรถไฟครอบคลุมทั้งเมืองจะไปที่ไหนก็มีเมโท ( รถไฟฟ้าใต้ดิน ) อยู่ทุกมุมเมืองเดลีเลย
India Gate เป็นประตูชัยรูปทรงเดียวกับประตูชัยที่กรุงปารีส แต่ประตูแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อระลึกการสละชีพของทหารอินเดียจำนวน 70,000 นายในสงครามโลกครั้งที่ 1 คุณสามารถมาชมมันได้ทุกเวลา แต่พบว่าตอนเย็นๆ หรือกลางคืนจะสวยกว่า เพราะมีการเปิดไฟที่ตัวประตูครับประตูชัยแห่งนี้ตั้งอยู่ที่กลางเมืองนิวเดลี ทำให้แถวนี้มีคนเดินไปเดินมาอย่างพลุกพล่านทีเดียวใกล้กับตัวประตูมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ คน
อินเดียนิยมมานั่งปิกนิกกันที่นี่
Jama Masiid เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย และเป็นผลงานของชาห์จาฮานคนเดิมตัวมัสยิดประกอบด้วยประตูทางเข้าขนาดใหญ่ 3ประตู หอคอย 4 หอ และเสา minaret อีก 2 ต้นนอกจากนี้ยังมีลานขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้มากถึง 25,000 คนได้อีกด้วยตัวมัสยิดสร้างขึ้นจากหินทรายสีแดงและหินอ่อนสีขาวสลับกันไปมา ทำให้ตัวมัสยิดสวยงามมากๆครับ ทั้งนี้คุณสามารถเข้าไปชมด้านในได้ ถ้าไม่มีการละหมาดภายใน แต่ถ้ามีก็ต้องรอไปก่อน (เว้นเสียว่าคุณเป็นมุสลิม) แต่คุณต้องแต่งกายอย่างสุภาพนะครับ อย่างไรก็ดีที่นี่มีเสื้อคลุมให้เช่าได้ที่ประตูทางเหนือ ซึ่งคุณสามารถไปเช่าและเข้าไปด้านในได้
Humayun's Tomb เป็นสุสานของ Humayunจักรพรรดิองค์ที่ 2 ของราชวงศ์โมกุล ผู้มีชีวิตอันโลด โผนไม่ต่างจากบาเบอร์ บิดาของเขา ชาห์จาฮาน จักรพรรดิผู้สร้างทัชมาฮาลประทับใจในตัวสุสานแห่งนี้มากจึงนำรูปแบบสถาปัตยกรรมไปสร้างทัชมาฮาลครับสุสานแห่งนี้สร้างขึ้นจากหินทรายสีแดงและหินอ่อนสีขาว และสร้างขึ้นตามศิลปะโมกุล รายรอบสุสานเป็นสวนที่ร่มรื่น และมีน้ำพุตั้งอยู่ด้านหน้าด้วย ตัวสุสานจะสวยมากในช่วงกลางคืนที่มีการฉายแสง
Akshardham Temple เป็นวัดฮินดูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในนิวเดลีและอินเดีย แม้ว่าจะเพิ่งสร้างเสร็จในปี ค.ศ.2007 แต่ความสวยงามและอลังการของมันได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวมามากมาย ตัววัดสร้างขึ้นจากหินทรายสีชมพูและหินอ่อนที่เมื่อเห็นแล้วคุณจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจตั้งแต่ระยะไกล ภายในวัดมีเสาสองร้อยกว่าต้นที่ตบแต่งอย่างวิจิตร เช่นเดียวกับรูปแกะสลักที่ละลานตาจำนวนมากภายในวัด แถมยังมีรูปปั่นช้างที่ทำจากหิน และหนักถึง 3,000 ตันด้วย
Qutub Minar เป็นหอคอยแห่งชัยชนะที่ตั้งอยู่ที่ย่าน Gurgaon ทางใต้ของนิวเดลี ตัวหอคอยสร้างขึ้นโดย Qutub-ud-din Aibak นักรบชาวมุสลิมหลังจากเอาชนะกองทัพฮินดูได้สำเร็จในปีค.ศ. 1193 ด้วยความสูงกว่า 73 เมตร ทำให้หอคอยแห่งนี้เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างโบราณที่สูงที่สุดในนิวเดลีและอินเดียตัวหอคอยสร้างขึ้นจากหินทรายและหินอ่อน ทั้งนี้ใกล้กับตัวหอคอยมีตัวอักษรโบราณเขียนไว้ว่าหอคอยสร้างขึ้นมาจากหินจากวัดฮินดูที่ถูกกองทัพมุสลิมทำลาย
The Lotus Temple เป็นศาสนสถานในศาสนาBahai ที่ตั้งอยู่ในนิวเดลี เมื่อคุณเดินเข้ามาในวัดคุณจะรู้สึกสงสัยทันทีว่านี่เป็นวัดจริงๆ หรือ?เพราะมันเหมือนศูนย์ประชุมทั่วไปมากกว่าตัววัดมีลักษณะเหมือนดอกบัวสีขาวไม่มีผิดเพี้ยนดังนั้นมันจึงสวยงามมาก สาเหตุที่สถาปนิกเลือกดอกบัวในการสร้างศาสนสถานคือ ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ที่ผู้คนที่นับถือ 4 ศาสนาหลักของอินเดียรู้จักกันดี ซึ่งตรงกับความเชื่อของศาสนาBahai ด้วยที่ว่าทุกศาสนาเท่าเทียมกัน และเป็นหนึ่งอันเดียวกัน
Gurudwara Bangla Sahib เป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดในเดลีสำหรับชาวชิกข์ ที่นี่เป็นวัดซิกข์ที่มี โดมทองที่สวยงามมาก เช่นเดียวกับสระน้ำที่ตั้งอยู่เคียงข้างกับศาสนสถานแห่งนี้ (เรียกว่าSarovar)คุณสามารถเข้าชมความงามด้านในได้ และยังสามารถชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์ที่จะเล่าความเป็นมาของชาวชิกข์ซึ่งอยู่ใกล้กันด้วย
Rashtrapati Bhavan เป็นทำเนียบที่พำนักในกรุงนิวเดลีของประธานาธิบดีอินเดียคนปัจจุบันตัวอาคารสร้างขึ้นจากอิฐและหินนับล้านก้อนโดยรวมแล้วอาคารแห่งนี้มีห้องมากกว่า 300ห้องครับทำเนียบดังกล่าวสร้างขึ้นจากสถาปัตยกรรมโมกุลผสมผสานกับตะวันตก ทำให้ตัวอาคารมีความสวยงามแปลกตาต่างจากอาคารอื่นๆ คุณสามารถเข้าไปชมข้างในได้ แต่ต้องจองทัวร์ล่วงหน้าก่อนเท่านั้น
เมืองอากรา แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่มาอินเดียเพราะมาดูทัชมาฮาล ที่จัดเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งอยู่ที่เมืองอากรา หรือ อัครา นั่นเอง เมืองนี้จะมาจากนิวเดลี หรือชัยปุระเป็นเรื่องง่ายมาก มีทั้งรถไฟ บัส และรถเช่า แต่ไม่มีบินตรงจากไทยนะคะ อากราเป็นเมืองเล็ก ๆ ใช้เวลาเที่ยวแค่ 1 วัน หรือ 2 วันก็เพียงพอแล้ว แต่การเข้าชมทัชมาฮาลนั้น หากไปวันหยุดของอินเดีย หรือวันหยุดสากลของโลก ต้องไปให้เช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้เขียนไปตอนหกโมงเช้าในวันหยุดสิ้นปี แถวยาวมากจนแอบท้อ แต่สุดท้ายก็ไม่ท้อไปรอต่อคิวจนได้เข้าค่ะ
ทัชมาฮาล Taj Mahal ก่อนอื่นขอเริ่มที่ไฮไลท์ที่สุดของเมืองอัคราอย่าง ทัชมาฮาล อนุสรณ์สถานแห่งความรักที่พระเจ้าชาห์จาฮานทรงมีต่อพระนางมุมตัส เป็นสุสานหินอ่อนสวยงาม มีรูปทรงศิลปะในแบบโมกุลบวกกับอิสลาม คนที่สร้างสุสานนี้ต้องถูกฆ่าตายทั้งหมด เพราะพระเจ้าชาห์จาฮานไม่ต้องการให้มีสิ่งไหนบนโลกที่สวยงามเทียบเท่า ทัชมาฮาล อีกแล้ว
ป้อมอัครา Agra Fort เป็นป้อมปราการสีสวยงามตั้งตระหง่านใจกลางเมืองอัครามีความสูงและสวยงามอย่างมาก เป็นสถานที่ที่พระเจ้าชาห์จาฮาน ถูกคุมขัง ด้วยความที่อาลัยรักจากการจากไปของพระนางมุมตัส จนเสียสติและจะสร้างทัชมาฮาลต่อไปเรื่อยๆ อาจจะทำให้ผู้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ป้อมอัคราห่างจากทัชมาฮาลประมาณ 3 กิโลเมตร พระเจ้าชาห์จาฮานจะใช้ที่นี่เป็นที่เฝ้ามองทัชมาฮาลด้วยความคิดถึงพระมเหสีตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
Baby Taj มีอีกชื่อว่า Itmad-ud-Daula เป็นสุสานของคุณพ่อและคุณแม่ของพระนางมุมตัส มเหสีของพระเจ้าชาห์จาฮาน ผู้ริเริ่มการสร้างทัชมาฮาล ว่ากันว่า ทัชมาฮาล ได้รับแรงบันดาลใจในด้านรูปแบบการสร้างจากที่นี่ จึงมีการตั้งฉายาที่นี่ว่า Baby Taj
Jama Masjid หนึ่งในศาสนสถานทางศาสนาอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอัครา เป็นมัสยิดที่มีสีสันที่สวยงามและแปลกตามากๆ อาจจะใหญ่ไม่เท่าที่กรุงนิวเดลี แต่มาถึงเมืองอัคราทั้งทีต้องห้ามพลาด
Mehtab Bagh เป็นสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ตรงข้ามทัชมาฮาล โดยมีแม่น้ำยมุนาอยู่ตรงกึ่งกลางกั้นเอาไว้ เป็นจุดที่ถ่ายรูปทัชมาฮาลได้สวยมากๆ แต่ข้อเสียคือเป็นสถานที่ที่ต้องตั้งใจไป เพราะอยู่คนละฝั่งกับที่ท่องเที่ยวจุดอื่นของเมืองอัครา แต่มีรถตุ๊กตุ๊กและ UBER ให้บริการตลอดเลยไม่ต้องกังวล
เมือง Varanasi พาราณสี
เมืองแห่งสายน้ำคงคา เมืองแห่งสัจธรรมชีวิต เมืองเก่าแก่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ เมืองพาราณสีเป็นเมืองที่มีอายุกว่า 4,000 ปี และใน 4,000 ปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยร้างผู้คนเลย ปัจจุบันนี้มีบินตรงแล้วนะคะ เช่น สายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินละประมาณสองพันกว่าบาท ( ต่อเที่ยว ) เส้นทางนี้เหมาะกับคนสายบุญ แสวงบุญ หรือใครที่ชอบสถาปัตยกรรมวัด วา อาราม มีทั้งวัดไทย วัดอินเดีย ไปแล้วห้ามพลาดการล่องเรือในแม่น้ำคงคาเพื่อชมเมืองนะคะ แนะนำให้เลือกนั่งช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตก แสงอาทิตย์สีทองสาดกระทบกับเมืองริมน้ำ ช่างเป็นภาพที่สวยมากค่ะ
เทวาลัยทุรคา เป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสถานที่ท่องเที่ยวหลักในเมืองพาราณสี สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 เพื่อสักการะเจ้าแม่ทุรคา ความโดดเด่นของเทวาลัยแห่งนี้คือตัววิหารสถาปัตยกรรมฮินดูแบบอินเดียเหนือสีแดงสดใส ใจกลางวิหารเป็นสิงขรหรือเสายอดแหลมประดับด้วยสัญลักษณ์ทางศาสนาต่างๆ และฝูงลิงที่อาศัยอยู่ในตัวเทวาลัย ลิงที่นี่มีจำนวนมากถึงขั้นได้รับการขนานนามว่าเป็นวัดลิงเลยทีเดียว นอกจากวิหารหลักแล้ว
ป้อมรัมนาการ์ (Ramnagar Fort)ด้านหลังของเทวาลัยยังเป็นที่ตั้งของสระน้ำทุรคา (Durga Kund) สระน้ำขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำคงคา สำหรับไว้นั่งพักผ่อนชมภาพความคึกคักของผู้คนที่เข้ามาสักการะและแสวงบุญในตัวเทวาลัย พิธีกรรมทางศาสนาหลักๆ ที่เปิดให้ผู้ที่ไม่ใช่ชาวฮินดูเข้าร่วมได้ในเทวาลัยทุรคาก็คือการตีระฆังและถวายเครื่องสักการะที่แท่นบูชาทางศาสนาและรูปปั้นพระแม่ทุรคาปางต่างๆ
วัดวิศวนาถใหม่ (New Vishwanatha Temple) เปลี่ยนบรรยากาศจากวัดริมน้ำมาเป็นวัดใจกลางอุทยานที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้เขียวขจีกันบ้าง วัดวิศวนาถใหม่สร้างขึ้นในช่วงปี คศ.1960 ตั้งอยู่ใจกลางมหาวิทยาลัยบาณารัส ฮินดู เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้บูชาพระวิศวะ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเลียนแบบวัดศรี กาสี วิศวนาถ ในพาราณสี ริมแม่น้ำคงคา แต่แตกต่างกันตรงที่วัดวิศวนาถใหม่แห่งนี้เปิดให้ผู้คนจากทุกศาสนาได้เข้าชมภายในตัววัดแบบใกล้ชิด และมีบรรยากาศที่ร่มรื่นรวมถึงมีสถาปัตยกรรมแบบฮินดูที่สวยงาม สะอาด และดูใหม่มากกว่า นอกจากนี้การมาเที่ยววัดวิศวนาถใหม่ก็จะมีโอกาสได้ชมวิถีชีวิตของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยบาณารัส ฮินดูอีกด้วย
อาหารขึ้นชื่อของอินเดีย
มาเริ่มกันที่ ปานี ปูริ กันเลยหนึ่งในเมนูอาหารอินเดียยอดฮิตที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยในตอนนี้ เมนูนี้นั้นเป็นเมนูสตรีทฟู้ด ที่สามารถหาทานได้ง่าย ซึ่งคำว่าปานี ปูริ มาจาก ‘ปานี’ แปลว่า น้ำ ‘ปุรี’ แปลว่าแป้งทอดกลมพอง ปานี ปูริจึงเป็นเมนูที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบหลัก รสชาติจะเป็นเอกลักษณ์คือจะมีรสเปรี้ยว เค็มและเผ็ดโดยแต่ละร้านนั้นอาจจะมีรสชาติตามสูตรเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป
ข้าวหมกไก่ เมนูอาหารอินเดียที่หลายคนคงต้องรู้จักกันอย่างแน่นอน เป็นเมนูที่ทานง่ายรสชาติไม่จัดจ้าน แต่ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมนูนี้จะแตกต่างจากของไทยที่เราเคยกินกันเพราะสไตล์อินเดียจะใช้เม็ดข้าวเฉพาะที่มีลักษณะเรียวยาวนำมาผสมผสานกับขมิ้นโรยหอมแดงเล็กน้อยเสิร์ฟพร้อมไก่อบ บอกเลยว่าใครได้ทานจะต้องติดใจ
เคบับ นอกจากเป็นอาหารสตรีทฟู้ดยอดฮิตของอินเดียที่นิยมทานกันเป็นอย่างมากแล้วในไทยเราก็เป็นหนึ่งในเมนูยอดฮิตที่หากินได้ตามสตรีทฟู้ดเช่นกัน ส่วนความเด็ดของเคบับก็คือความหอมเครื่องเทศที่ทาอยู่บนเนื้อสัตว์เสียบไม้ย่างไม่ว่าจะเป็น เนื้อไก่หรือเนื้อวัวของแต่ละร้านก็จะมีสูตรเฉพาะตามแบบฉบับความอร่อยของตัวเอง ซึ่งเมนูนี้ก็เป็นอีกเมนูที่อยากแนะนำว่าไม่ควรพลาด
แป้งนาน เมนูอาหารอินเดียที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับโรตีแต่จะมีความหนาและเหนียวกว่าแป้งโรตี มีรสชาติหลากหลาย อาทิ รสดั้งเดิม หัวหอม ชีสและกระเทียม วิธีการทำก็จะนำแป้งนั้นไปย่างสุกบนกระทะแบนให้มีความสุกของแป้งที่มีความเกรียมเล็กน้อยให้เกิดความหอมของแป้ง ในส่วนของวิธีกินจะใช้มือในการฉีกแป้งนานแล้วนำไปจิ้มกินควบคู่กับแกง ซึ่งการกินควบคู่กับแกงเราก็สามารถเลือกรสชาติของแป้งให้เข้ากับแกงนั้น ๆ ได้
แกงมาซาลาเนยปะนีร์ ใครที่ชอบอาหารอินเดียจะต้องคุ้นเคยกับเมนูนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูมังสวิรัติของอินเดีย ที่มีรสชาติเปรี้ยวนำจากโยเกิร์ต เนื้อแกงจะเป็นครีมข้น ๆ มีกลิ่นเครื่องเทศและสมุนไพร ในแกงจะมีชีสก้อนชิ้นพอดีคำ ซึ่งก้อนชีสนั้นจะเรียกว่า Paneer ทานคู่กับแป้งนานอร่อยลงตัวแบบสุด ๆ
โดซ่า เป็นอาหารอินเดียที่มักจะกินเป็นอาหารเช้า ซึ่งเมนูนี้จะเป็นอีกหนึ่งเมนูมังสวิรัติไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ เป็นแป้งทอดแผ่นบาง ๆ ในปัจจุบันนั้นจะมีร้านอาหารที่ทำทั้งแบบกรอบและแบบนุ่มคล้ายกับเครป เนื้อแป้งจะทำมาจากถั่ว สามารถเลือกทานแบบแป้งธรรมดาหรือจะเป็นแบบแป้งที่ปรุงรสสอดไส้เครื่องเทศต่างๆ จะนำมาทานคู่กับซอสหรือแกงแทนแป้งนานก็ได้เช่นกัน
ดาล เมนูอาหารประจำบ้านของคนอินเดียที่ต้องบอกเลยว่าในแต่ละมื้อจะขาดเมนูนี้ไปได้เลย ซึ่ง ดาล จะมีกลิ่นที่หอมจากการผสมผสานไปด้วยเครื่องเทศ สมุนไพร และถั่วต้ม ลักษณะเนื้อสัมผัสจะมีความเหมือนแกงและซุป สามารถรับประทานควบคู่กับข้าวหรือแป้งนานก็อร่อยไม่แพ้กัน
ระซัม เป็นอีกชนิดของดาลเป็นอาหารท้องถิ่นของชาวอินเดียใต้ ลักษณะจะเป็นซุปทำจากผัก รสชาติทานง่ายไม่จัดจ้านจนเกินไปโดยจะออกไปทางเปรี้ยว เค็มและเผ็ด ชาวอินเดียใต้มักจะนิยมทานคู่กับข้าวและผัก แต่ชาวอินเดียเหนือจะนิยมทานคู่กับข้าวและโรตี
มาพบกับอาหารอินเดียที่เป็นของทานเล่นเรียกน้ำย่อยทานได้แบบเพลิน ๆ กันบ้าง นั้นก็คือ ซาโมซ่า คล้ายกับเกี๊ยวทอด เป็นแป้งรูปทรงสามเหลี่ยมด้านในจะมีไส้เน้น ๆ ทั้งคาวและหวาน อย่างไส้ถั่วลันเตา มันฝรั่ง ชีส ผัก และเนื้อสัตว์ วิธีการทำก็จะนำไปทอดในน้ำมันร้อน ๆ ให้สีเหลืองกรอบกินคู่กับน้ำจิ้มอร่อยแบบฟิน ๆ
จาเลบี้ เมนูขนมหวานยอดนิยมของอินเดียที่มีลักษณะรูปทรงเป็นขด ทำมาจากแป้งทอดกรอบ ชุบน้ำเชื่อมฉ่ำ ๆ เมื่อทานแล้วจะได้เนื้อสัมผัสกรุบกรอบและรสชาติที่หวานสุด ๆ เมนูที่ใครเป็นสายหวานต้องไม่พลาดกันเลย
Lulu Mall Bengaluru
Nexus Select CityWalk
Alpha One Mall
Quest Mall
World Trade Park
DB City Mall
Phoenix Marketcity
Sheek Emporium - Armanii Boutique
ร้านหนังสือ
ขอเปิดเรื่องแรกด้วย หนังสือ ก่อนเลยนะจ้ะ หนังสือที่นี่ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน นวนิยาย นิตยสาร หนังสือประวัติศาสตร์ หรือหนังสือความรู้ทั่วไป ไปจนหนังสืออ่านเล่น ขอบอกว่าราคาถูกแสนถูก ราคาสบายกระเป๋ามากที่จะซื้อ บางคนที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือก็จะมาแบบหอบหิ้วนวนิยายกลับไปหลายเล่มเลย ถ้าจะยกตัวอย่างเช่น แฮรี่พอตเตอร์ยกชุดที่ไทยขายประมาณ 1,290 บาท แต่ที่อินเดียขายประมาณ 750 บาทเท่านั้น และถ้าเป็นหนังสือเรียนภาษาอังกฤษที่ไทยขายประมาณ 400 กว่าบาท แต่ที่อินเดียขายประมาณ 200 กว่าบาทจ้า แต่ใครที่จะซื้อหนังสือกลับก็ต้องคำนึงถึงน้ำหนักกันด้วยนะ ถึงราคาจะแสนสบายกระเป๋าแต่น้ำหนักไม่ได้สบายด้วยนะจ๊ะ
ขนม Dark Fantasy
คุ้กกี้สอดไส้ช็อกโกแลตที่ไม่หวาน หรือขมเกินไป รสชาติกำลังกลมกล่อมพอดี ใครหลายๆคนได้ลิ้มรสแล้วก็ติดใจกันมามากมาย เป็นของที่น่าซื้อฝากทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยจ้า ราคาก็ไม่ได้แพงนะ เริ่มต้นที่ชิ้นละประมาณ 2 บาท ขอบอกจุดที่สำคัญของขนมชิ้นนี้คือ ข้างกล่องจะเขียนวันผลิตไว้ (PKD...) และจะมีตัวอธิบายเล็กๆว่า ควรบริโภคภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ผลิต จึงทำให้ใครหลายๆคนที่ดูผ่านๆอาจคิดว่าขนมที่ทานเข้าไปมันหมดอายุไปแล้วนะจ๊ะ แต่ PKD คือวันที่บรรจุผลิตภัณฑ์ รู้แบบนี้แล้วใครอยากซื้อก็สามารถหาได้ตามร้านค้า ซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไปได้เลยจ้าาาา
ยาอินเดีย
เป็นยาที่มีราคาถูก ไม่แพง ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย แถมยาที่พูดถึงก็ถือว่าเป็นยาดี
ยาดังของอินเดียเลย มีเพื่อนๆหลายคนชอบฝากซื้อกลับมา เพราะทุกคนบอกว่าดีไม่ร้อนมากและลดอาการปวดได้ดีมาก ถ้าอยากรู้ว่าจริงไหมก็คงต้องจัดไปลองสักอันแล้วน้า
สำหรับ Back Pain เป็นลูกกลิ้งแก้ปวดหลัง ส่วน Joint-Muscle spray เป็นสเปรย์เหมาะสำหรับผู้ที่ปวดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือตามข้อต่างๆในร่างกาย แต่พี่เกมขอบอกว่าทุกตัวเหมาะกับการใช้ลดอาการปวดได้ดีจริงๆ คอนเฟิร์มค่ะ
ผ้าคลุมไหล่
ของอินเดียถือว่าเป็นของที่น่าซื้อมากๆอีกอย่างหนึ่ง เนื้อผ้าหนานุ่มมีความยาวปกติจนยาวใหญ่พิเศษกว่าปกติ 200ซม*120ซม เลยก็มี จึงสามารถนำมาใช้เป็นผ้าห่มลำลองกันได้ด้วย แถมกันหนาวได้ดี มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์สไตล์อินตะระเดีย และที่สำคัญขึ้นชื่อมากเป็นพิเศษจะเป็นผ้าคลุมไหล่ที่มาจากแคชเมียร์ หรือที่เรียกว่า Pashmina Scarf ผ้าแพชมิน่าหรือพัชมิน่า คือผ้าคลุมไหล่ที่ทำมาจากขนเคราหรือขนอกของแพะภูเขา ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของมันคือ บางแต่อุ่นในหน้าหนาว และเย็นสบายในหน้าร้อน ซึ่งขนพวกนี้มีจำนวนน้อยและทอยากมาก และถ้าเป็นผ้าแพชมิน่า 100% จะไม่สามารถทักลวดลายได้ แถมยังมีราคาที่สูงกว่าผ้าพันคอทั่วไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่กับความพึ่งพอใจและความสะดวกสบายของกระเป๋าสตางค์ของแต่ละคนเลยจ้ะ
ของแบรนด์เนม ที่อินเดียจะมีเทศกาลลดราคาเหมือนๆกับประเทศอื่นๆ แต่ในช่วง Sale ที่นี่คือการลดจริงลดจังมากๆ
เช่นเสื้อผ้าแบรนด์