

HOTLINE: +6684 522 2429
+6661 156 5453
Your Smile, Our Inspiration
รับจัดกรุ๊ปทัวร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ,
กรุ๊ปเหมาหมู่คณะหรือส่วนตัว, ดูงานสัมมนา,
อีเว้นท์ (Event), จัดกิจกรรมนอกสถานที่ Walk Rally
รังสรรค์งานโดยทีมงานมืออาชีพ

SPAIN
สเปน
ประเทศสเปน (Spain) หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรสเปน เป็นประเทศทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป สเปนมีพรมแดนติดกับฝรั่งเศสทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตามแนวเทือกเขาพิเรนีส เป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเเละเมืองที่สวยงาม วัฒนธรรมที่น่าสนใจ เเละนี่คือ 10เมืองเลอค่าของประเทศสเปนที่คุณต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต
.jpg)
เมืองบาร์เซโลนา เป็นเมืองท่าสำคัญและเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเคยเป็นอาณานิคมของโรมันมาก่อนเคยถูกยึดครองโดยชาติต่าง ๆ หลายครั้ง รวมทั้งฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2183 บาร์เซโลนาเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยว บาร์เซโลนามีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สำคัญมากมาย

เริ่มต้น เที่ยวบาร์เซโลน่า กันที่ มหาวิหาร La Sagrada Familia ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองนี้ โดยเป็นผลงานมาสเตอร์พีซของ Antoni Gaudi สถาปนิกชาวสเปน แนวอาร์ตนูโว เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1892 คาดกันว่าน่าจะเสร็จในปี ค.ศ.2030 และถ้าสร้างเสร็จ ที่นี่ก็จะกลายเป็นมหาวิหารที่มีความสูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงถึง 170 เมตร โดยได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เป็นที่เรียบร้อย ใครที่มา ทัวร์สเปน ห้ามพลาดเช็คอินที่นี่นะคะ

เที่ยวบาร์เซโลน่า กันต่อที่ Park Guell สวนสาธารณะ ที่มีความซับซ้อน เต็มไปด้วยองค์ประกอบของศิลปะ ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมอันสวยงาม พื้นผิวส่วนใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยชิ้นส่วนของเซรามิกหลากหลายสีสัน กลายเป็นลวดลายที่วิจิตรตระการตา ระเบียงที่มีความคดโค้งไปมา สะท้อนการออกแบบสไตล์อาร์ตนูโวของ Antoni Gaudi ได้อย่างแท้จริง โดยเราสามารถมาพักผ่อนหย่อนใจ เดินชมธรรมชาติในบรรยากาศเงียบสงบ พร้อมกับเพลิดเพลินตาไปกับงานศิลปะอันงดงามราวกับเทพนิยายได้ในเวลาเดียวกัน

มากันที่ย่านโกธิค หรือ Gothic Quarter เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เจ๋งสุดๆ ในบาร์เซโลน่า โดยบริเวณนี้จะเป็นอาคารบ้านเรือนสถาปัตยกรรมโกธิคย้อนหลังไป 2,000 ปี ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่าที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มากมาย สำรวจ มหาวิหารโกธิค ที่ จัตุรัสคิงส์ (King’s Square) บ้านเรือนบนถนนแคบๆ และบาร์ทาปาสที่ดีที่สุดในเมือง ย่านโกธิคแห่งนี้จึงเหมาะอย่างยิ่ง สำหรับการเดินเล่นชมเมืองแบบเพลิดเพลินใจ

เปลี่ยนอารมณ์ไป เที่ยวบาร์เซโลน่า ด้วยการชมวิวจากมุมสูงกันที่จุดชมวิว Bunkers del Carmel ป้อมปราการโบราณอันเก่าแก่ บนเนินเขา Turó de la Rovira ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1938 เราสามารถขึ้นไปนั่งชมวิวเมืองบาร์เซโลน่าได้แบบ 360 องศา ทั้งตอนกลางวัน ตอนเย็นเพื่อชมพระอาทิตย์ตก ลากยาวไปจนถึงตอนหัวค่ำเพื่อชมแสงไฟยามค่ำคืนทั่วเมืองบาร์เซโลน่า

ถัดมากับอีกหนึ่ง ที่เที่ยวบาร์เซโลน่า ด้านศิลปะ ที่นี่คือ Casa Mila บ้านพักอาศัยของ Antoni Gaudi เป็นอาคารที่เต็มไปด้วยจิตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบเป็นอย่างมากที่สุดในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม หลายคนอาจมองว่าดูเหมือนประติมากรรมมากกว่า เนื่องจากด้านหน้าของตัวอาคารนั้นมีความคดโค้งไปมาเหมือนลูกคลื่น ต่างจากอาคารอื่นๆ ทั่วไป และยังมีระเบียงเหล็กรูปทรงแปลกตา ซึ่งองค์การ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนให้อาคารแห่งนี้เป็นมรดกโลกในป ค.ศ. 1984 อย่าลืมแวะไปชมความสวยงามแปลกตากันให้ได้นะคะ

ปิดท้าย ที่เที่ยวบาร์เซโลน่า เราจะพาคุณไปชม Palace of Catalan Music เป็นฮอลล์จัดการแสดงที่สวยงามอลังการ สถาปัตยกรรมและจิตรกรรมภายในตกแต่งได้อย่างวิจิตรหรูหรา เป็นสถานที่ที่เหล่านักแสดงจากทั่วประเทศสเปน และจากทั่วโลกต่างต้องการมาขึ้นเวทีที่นี่สักครั้ง ซึ่งช่วงที่ไม่ได้มีการจัดงานแสดง นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาชมความงดงามภายในฮอลล์แห่งนี้ได้ แต่ถ้ามีโอกาสได้มาชมการแสดงที่นี่ บอกเลยว่าจะเป็นการปิดทริป ทัวร์สเปน ได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยล่ะค่ะ

เมืองมาดริด (Mardrid) เป็นเมืองหลวงของประเทศสเปนและเป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาล และเป็นที่อยู่อาศัยของราชวงศ์อีกด้วย เมืองมาดริดถือว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสเปน มีประชากรอาศัยมากกว่า 3 ล้านคน เสน่ห์ของมาดริดนั่นคือการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและวัฒนธรรมที่มีอยู่ดั้งเดิม มาดริดได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ไม่เคยหยุดนิ่งไม่ว่าจะช่วงกลางวันและในช่วงกลางคืนที่มีสีสันของปาร์ตี้ต่าง ๆ

พลาซา เมเยอร์ (Plaza Mayor) เป็นจัตุรัสที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงมาดริด โดยเป็นจุดเริ่มต้นกิโลเมตรที่ 0 จัตุรัสนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1580 และสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1619 ตรงกลางลานโล่งของจัตุรัสพลาซา เมเยอร์ที่กว้างขวางแห่งนี้ มีอนุสาวรีย์ของกษัตริย์ฟิลิเปที่ 3 ประทับนั่งบนหลังม้าขณะยกเท้าย่างก้าว บริเวณรอบๆ จัตุรัสที่เป็นศูนย์กลางสำหรับประชาชน ทั้งในช่วงเวลาปกติ และช่วงเทศกาลงานต่างๆ แห่งนี้ รายล้อมไปด้วยร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านของที่ระลึก และร้านค้าอื่นๆ อีกมากมาย ตลอดจนเป็นพื้นที่ที่เหล่าศิลปินมาแสดงผลงานให้ได้ชมอย่างเพลิดเพลิน แม้แต่การสู้วัวกระทิงที่เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมการต่อสู้ของสเปนที่โด่งดังไปทั่วโลกก็สามารถหาชมได้ที่นี่เช่นกัน เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวยอดนิยมในมาดริดที่ผู้คนมักจะมาเดินเล่นเพื่อสัมผัสบรรยากาศ และชมความงามของสถาปัตยกรรมอันหรูหราที่อยู่รอบๆ จัตุรัสแห่งนี้

วิหารอัลมูเดนา (Cathedral de la Almudena) เป็นหนึ่งในสถานที่ที่อลังการที่สุดในสเปนซึ่งใช้เวลาก่อสร้างยาวนาน และยังเป็นสถานที่ประกอบพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายฟิลิเปแห่งสเปนในปีค.ศ. 2004 ด้วย วิหารอัลมูเดนา ตั้งอยู่ริมถนน Calle Bailén ติดกับพระราชวังหลวงแห่งมาดริด วิหารสีขาวแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 ทว่าเพิ่งสร้างเสร็จในปีค.ศ. 1993 โดยการก่อสร้างที่ล่าช้าทำให้วิหารอัลมูเดนามีสถาปัตยกรรมสองสไตล์ เป็นการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก กับแบบนีโอโกธิก โดยแบบแปลนและลักษณะทางสถาปัตยกรรมหลายๆ จุดของวิหารนี้ยังคงไว้ตามลักษณะดั้งเดิมของวิหารทั่วไป ทว่าสิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็คือความทันสมัยที่สร้างเอกลักษณ์ให้กับวิหารแห่งนี้ ด้านบนของวิหารอัลมูเดนาซึ่งเป็นโดมขนาดใหญ่กับเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 20 เมตร ยังเป็นจุดชมวิวอันตระการตาของตัวเมืองมาดริดด้วย

ถนนแกรนเวีย (Gran Via) เมืองมาดริด ถนนที่ได้รับการขนานนามว่า “Spanish Broadway” อายุเก่าแก่กว่าร้อยปี ถนนเส้นนี้เป็นถนนความยาว 1.3 กิโลเมตรที่เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1910 การสร้างถนนนี้ใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1929 ด้านตะวันออกของถนนเส้นนี้นำไปสู่ Calle de Alcalá ส่วนด้านตะวันตกนำไปสู่จัตุรัส Plaza de Cibeles ตลอดแนวถนนแกรนเวียเรียงรายด้วยอาคารสวยงาม มีทั้งร้านค้าแบรนด์เนม แหล่งช้อปปิ้ง โรงหนัง และที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทำให้ย่านนี้ไม่เคยขาดชีวิตชีวาและความคึกคักเลยไม่ว่าเวลาใด ท่ามกลางสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่และน่าสนใจที่มีอยู่หลายจุดด้วยกันบนถนนแกรนเวีย อาคาร Schweppes ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้รับการออกแบบสถาปัตยกรรมให้โค้งเข้ากับมุมถนน เผยให้เห็นความโดดเด่นของส่วนที่สูงที่สุดตรงมุมที่แยกออกไป ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปเมื่อมาเที่ยวถนนแกรนเวีย

พระราชวังหลวงแห่งมาดริด (Royal Palace of Madrid) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “พระราชวังหลวงปาลาซิโอ” เป็นหนึ่งในพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าเฟลิเปที่ 5 แห่งราชวงศ์บูร์บง โดยใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 25 ปี โดยโครงสร้างอาคารที่เห็นอยู่ในปัจจุบันก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1738 หลังจากที่ประทับเดิมของราชวงศ์ถูกเพลิงไหม้เมื่อปีค.ศ. 1734 พระราชวังแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียน เน้นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมอิตาเลียนเเละฝรั่งเศส ทำให้พระราชวังหลวงแห่งมาดริดมีลักษณะคล้ายพระราชวังเเวร์ซายน์ ประเทศฝรั่งเศส ภายในพระราชวังแบ่งเป็นห้องต่างๆ ถึง 3,400 ห้อง แต่ละห้องตกแต่งอย่างสวยงาม หรูหรา และจัดแสดงผลงานศิลปะเลอค่าชั้นสูงมากมาย รวมถึงเครื่องลายคราม ชุดเกราะโบราณ อาวุธต่างๆ ที่กษัตริย์สเปนและราชวงศ์เคยใช้เป็นเวลาหลายร้อยปี

น้ำพุไซเบเลส (Cybele Fountain) ประติมากรรมน้ำพุแกะสลักจากหินอ่อน ความสูง 8 เมตร กว้าง 32 เมตร เป็นรูปเทพธิดาไซเบลีนนั่งบนรถเทียมสิงโตโดยในมือถือคทาและกุญแจมุ่งสู่เมือง สร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 18 โดยกษัตริย์คาลอส ที่ 3 เพื่ออุทิศให้แก่เทพธิดาไซเบลีน โดยมีสถาปนิกผู้ออกแบบคือ Ventura Rodríguez น้ำพุแห่งนี้ถือเป็นน้ำพุที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงมาดริด โดยตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสไซเบเลส (Plaza de la Cibeles) ซึ่งเป็นวงเวียนสำคัญและยังเป็นจุดที่ทีมฟุตบอลเรอัลมาดริดจะใช้เฉลิมฉลองการแข่งขันชิงแชมป์ด้วย บริเวณรอบๆ น้ำพุไซเบเลสมีอาคารสำคัญประจำอยู่ทั้ง 4 มุม ได้แก่ ธนาคารแห่งชาติสเปน, กองบัญชาการทหารบก, ศูนย์วัฒนธรรมทวีปอเมริกา และที่ทำการใหญ่ไปรษณีย์ซึ่งปัจจุบันคือศาลาว่าการเมืองมาดริดหลังสีขาวอันงามสง่า

ศาลาว่าการเมืองมาดริด (Palacio de Comunicaciones) อาคารหลังสีขาวงดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่ถูกเปลี่ยนผ่านหน้าที่มาหลายบทบาท ก่อนที่จะกลายมาเป็นศาลาว่าการเมืองมาดริดในปัจจุบัน ศาลาว่าการเมืองมาดริดตั้งตระหง่านอยู่ที่จัตุรัสไซเบเลส (Plaza de Cibeles) บริเวณด้านหลังน้ำพุไซเบเลสนั่นเอง อาคารหลังนี้ได้รับการออกแบบขึ้นในปี ค.ศ. 1904 มีสถาปนิกคนแรกคือ Antonio Palacios โดยสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1905 และสร้างเพิ่มเติมอีกครั้งปี ค.ศ. 1918 ในฐานะที่ทำการไปรษณีย์หลัก ภายหลังได้กลายมาเป็นศาลาว่าการเมืองมาดริดนับตั้งแต่ปี ค.ศ.2007 เป็นต้นมา ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ใครผ่านมาผ่านไปแถวจัตุรัสไซเบเลสต้องอดชื่นชมในความงามสง่าและโดดเด่นสะดุดตาไม่ได้

ตลาดซานมิเกล (Mercado San Miguel) หนึ่งในตลาดที่เก่าแก่ที่สุดในมาดริดที่บรรยากาศสุดคึกคักแห่งนี้ ถือเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมอาหารของสเปน โดยนอกจากภายในจะมีร้านอาหารหลากหลายให้เลือกแล้ว ที่นี่ยังเป็นตลาดนัด เป็นแหล่งช้อปปิ้งอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารระดับไฮเอนด์ เป็นแหล่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในการทำอาหาร ตลอดจนอาหารหลายชนิดซึ่งผลิตในสเปนด้วย ในช่วงเย็นตลาดซานมิเกลจะกลายเป็นจุดนัดพบยอดนิยมสำหรับการผ่อนคลาย ด้วยเครื่องดื่มอย่างไวน์ท้องถิ่น เบียร์ หรือค็อกเทล คู่กับอาหารว่างเบาๆ อย่างทาปาส โดยมีไฮไลต์อยู่ที่เมนูอาหารทะเล เช่น แซลมอน หรือหอยนางรม ตลาดนี้เปิดทุกวัน ตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงเที่ยงคืนเลยทีเดียว

พลาซา เดอ เอสปานา (Plaza de Espana) มีลักษณะเป็นจัตุรัสครึ่งวงกลมที่สวยงาม โค้งโอบรอบลานกว้าง สมกับชื่อ Espana ที่หมายถึง “การโอบกอด” จัตุรัสแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1928 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดนิทรรศการ Ibero-American ในปี ค.ศ. 1929 (Expo 29) นอกจากภูมิทัศน์ที่สวยงามเหมาะแก่การเดินเล่นพักผ่อนแล้ว พลาซา เดอ เอสปานา ยังเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ มิเกล เด เซร์บันเตส นักเขียนชาวสเปน กับผลงานที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่าง “ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันชา” รวมถึงประติมากรรมสำริดของ ดอนกิโฆเต้และซานโช ปันซา ตัวละครในเรื่องอยู่บริเวณด้านหน้าของอนุสาวรีย์ และมีประติมากรรมหินของ Aldonza Lorenzo อยู่บริเวณด้านข้างด้วย

เมืองวาเลนเซีย (Valencia)
ถ้านึกถึงเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะและพิพิธภัณฑ์ในประเทศสเปน ก็ต้องนึกถึง เมืองวาเลนเซีย (Valencia) เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศสเปน ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่และมีเสน่ห์น่าเที่ยวอย่างมาก เมืองนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกเยอะ เราพากันไปดูเลยดีกว่า ว่า 10 สถานที่ท่องเที่ยว วาเลนเซีย มีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง

สโมสรฟุตบอล วาเลนเซีย (Valencia Club de Futbol) ที่นี่คอบอลต้องรู้จักกันดี ในฉายา ไอ้ค้างคาว สโมสรฟุตบอลอาชีพของประเทศสเปน ที่โด่งดังมาก โดยวาเลนเซีย สามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้กว่า 6 สมัย บาเลนเซียก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1919 ซึ่งเป็นสโมสรที่เก่าแก่มาก และยังมีสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ที่จุได้ถึง 75,000 ที่นั่ง ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 3 ในสเปน ตามหลังเรียลมาดริดและบาร์เซโลนา

หอคอยตอร์เรส เด เซอรานอซ (Torres de Serranos) ที่นี่เป็นเหมือนสิบสองประตูกำแพงเมืองโบราณในวาเลนเซีย โดยมีการออกแบบตามศิลปะของโกธิค สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 14 ในช่วงท้าย จนถึงปัจจุบัน หอคอยแห่งนี้ได้กลายเป็นอนุสรณ์สถานที่ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี และยังขึ้นไปบนยอดหอคอย เพื่อชมวิวเมืองวาเลนเซียได้ด้วย

เมืองแห่งศิลปะและวิทยาศาสตร์ (City of Arts and Sciences) อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองบาเลนเซีย ซึ่งมีสถาปัตยกรรมที่งดงาม โดดเด่น ดูซับซ้อนแต่สวยมาก ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดทันสมัย สร้างบนพื้นที่ทั้งหมด 350,000 ตารางไมล์ ประกอบด้วยอาคารหลักๆ 4 หลัง และอาคารย่อยอื่นๆ ที่เต็มไปด้วย สถาปัตยกรรมล้ำยุค มีทั้งโรงภาพยนตร์ ท้องฟ้าจำลอง ร้านอาหาร และพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ซึ่งน่ามาเที่ยวมากๆ

หอคอยแห่งควอร์ท (Towers of Quart) เป็นที่ตั้งหอคอยที่อยู่ระหว่างใจกลางเมืองกับหมู่บ้าน หอคอยแห่งนี้เป็นเหมือนประตูเมือง ที่มีสถาปัตยกรรมอันงดงามสไตล์อิตาลี ในอดีตหอคอยนี้ เคยเป็นกลไกป้องกันเมืองวาเลนเซีย ไม่ให้ถูกสงครามกลางเมืองสเปนถูกทำลาย ถือเป็นหอคอยที่เป็นเหมือนอนุสาวรีย์ประจำเมืองได้เลย

พิพิธภัณฑ์สัตว์ทะเล (Oceanographic) สำหรับคนที่ชอบสัตว์ทะเล ต้องมาที่นี่ เพราะเป็นอควาเรียมที่เต็มไปด้วยสัตว์ทะเลหลากหลายสายพันธุ์ ที่นี่จะได้เห็นปลาฉลามแบบใกล้ๆ และยังมีอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวที่สุดของยุโรป ชมครอบครัวปลาวาฬสีขาว ที่เป็นขวัญใจนักท่องเที่ยว นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เด็กๆชอบมาก

มหาวิหารวาเลนเซีย (Catedral de València) มหาวิหารที่เป็นงานศิลปะชิ้นเอกจาก Spanish Renaissance และยังเป็นที่อยู่ของจิตรกรชาวสเปน ภายในแสดงถึงความเป็นศิลปะและประวัติศาสตร์ของคริสตศาสนา นิกายโรมันคาทอลิก รวมถึงมีการระลึกถึงพระแม่มารีย์วาเลนเซีย สร้างด้วยสถาปัตยกรรมโกธิคและสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ มหาวิหารแห่งนี้ มีการสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1238อีกด้วย

ตลาดของสดวาเลนเซีย (Mercado Central) ตลาดนี้ เปิดให้บริการเป็นครั้งแรกในปี 1928 โดยกษัตริย์อัลฟองโซที่ 13 ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าวาเลนเซียรวบรวมของกินไว้เพียบ มีทั้งเนื้อ ผลไม้ อาหารสด อาหารแห้ง โดยเฉพาะผลไม้ ต้องไม่พลาด เพราะสดและอร่อยจริงๆ มีร้านค้าให้เลือกกว่า 1,000 ร้าน และยังถือว่าเป็นตลาดที่เก่าแก่มากที่สุดในยุโรปอีกด้วย

เมืองบิลเบา (Bilbao) อีกหนึ่งเมืองของประเทศสเปนที่อยากแนะนำ นั่นคือ เมืองบิลเบา (Bilbao) เมืองที่มีสถาปัตยกรรมระดับโลกในยุค 90 มีทั้งพิพิธภัณฑ์ เมืองเก่า อาคารโบราณสไตล์โกธิค มหาวิหาร และสถานที่ท่องเที่ยวอีกมาก ที่รอให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมชม ถ้าพร้อมแล้ว มาดูกันเลยว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง

พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ (Guggenheim Museum) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ มีความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของสเปน สร้างมาตั้งแต่ปี 1997 เพื่อการท่องเที่ยว และรวบรวมงานศิลปะร่วมสมัยไว้ พิพิธภัณฑ์ถูกออกแบบให้เข้ากับประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ของเมือง และการออกแบบที่ยิ่งใหญ่นี้ ทำให้พิพิธภัณฑ์มีชื่อเสียงและเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้เข้าเยี่ยมชม

เมืองเก่าถนนเจ็ดสาย (Casco Viejo) เมืองเก่าที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ถนนเจ็ดสาย ประวัติศาสตร์อันยาวนานที่เกิดขึ้นที่นี่ ทุกอย่างเป็นสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ในยุคกลาง ถนนเส้นนี้ เป็นถนนสายเก่าแก่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาเดินเล่น ถ่ายรูป และยังมีร้านค้าขายของมากมาย ซึ่งมีนักท่องเที่ยวคึกคักตลอดทั้งปี
อีกด้วย

จัตุรัสสาธารณะ (Plaza Nueva) สถานที่สำคัญ ใจกลางเมืองประวัติศาสตร์บิลเบา จัตุรัสแห่งนี้เปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2394 หลังจากใช้เวลาสร้าง 65 ปี เป็นที่ตั้งของร้านค้า บาร์ ร้านอาหาร และคาเฟ่ ทุกวันอาทิตย์จะมีตลาดริมถนนสำหรับนักสะสมหนังสือ แร่ธาตุและฟอสซิล เหรียญและแสตมป์ ศิลปะและงานฝีมือ และอื่นๆ อีกมากมาย และในช่วงเทศกาล Santo Tomás ในวันที่ 21 ธันวาคม ที่นี่ยังเป็นตลาดของเกษตรกรที่น่าดึงดูดอีกด้วย

มหาวิหารเมืองเก่าบิลเบา (Begona) มหาวิหารที่อยู่ในเขตเมืองเก่าบิลเบา สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 มีการตกแต่งด้วยภาพวาดของนักบุญ และเรื่องราวของการแสวงบุญในอดีต มหาวิหารนี้มีความสูงพอที่จะได้ขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ของเนินเขา และมองเห็นเมืองบิลเบาได้อย่างแสนพิเศษเลยทีเดียว

จุดชมวิวเทือกเขา (Mount Artxanda Bilbao) เป็นสองเทือกเขาเล็กๆ ที่ตั้งใกล้กับกลางเมืองบิลเบา เทือกเขาที่มีความสูง 400 เมตร สามารถขึ้นไปพักผ่อนหย่อนใจ ในช่วงวันหยุดที่แสนสบายได้ เพราะมีทั้งสวนสาธารณะ โรงแรม ร้านอาหาร เป็นที่นิยมของชาวเมืองและมีทัศนีภาพอันงดงาม ทำให้นักท่องเที่ยวชื่นชอบที่นี่มากเหมือนกัน

ศูนย์การประชุมและดนตรี (Palacio Euskalduna) ที่นี่เป็นศูนย์ประชุมและดนตรี ของเมืองบิลเบา ออกแบบโดยสถาปนิก Federico Soriano และ Dolores Palacios และการก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี 1994 เป็นศูนย์การประชุมโรงละครโอเปร่าและคอนเสิร์ตฮอลล์ ในปี พ.ศ. 2546 มีการจัดกิจกรรมทางสังคมที่หลากหลาย และมีอาคารขัดแสดงที่รองรับคนได้มากพอ โดยเฉพาะ เทศกาลโอเปร่า ที่จัดขึ้นเป็นประจำ

ตลาดริเบรา (Mercado de la Ribera) จัตุรัสที่สำคัญของเมืองบิลเบา สร้างขึ้นบนพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ทำให้ตลาดนี้ เป็นตลาดที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในยุโรป มีร้านขายของสด ที่เหมาะแก่การจับจ่ายประจำวัน ทั้งผัดสด ปลาสด เนื้อสด และยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจำหน่ายอีกด้วย

เมืองมาลากา ได้ผุดขึ้นมาหลายร้อยปีแล้ว มาลากาเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สถานที่สำคัญสะท้อนให้เห็นถึงอดีตของกรุงโรมที่ซากปรักหักพังของโรงละครโรมันปราสาท Moorish ในยุค 10 ที่สร้างขึ้นจากซากประภาคารฟินีเซียน Alcazaba ในศตวรรษที่ 13 และโบสถ์บาโรคแบบบาโรกที่สวยงาม นอกจากประวัติศาสตร์แล้วMálagaยังมีทัศนียภาพที่สวยงามของ Costa del Sol และสภาพอากาศที่ยอดเยี่ยมรวมไปถึงวัฒนธรรมและชายหาดอันสวยงาม ต้นปาล์มใบเรียงรายริมทะเล promenades และพืชเขตร้อน flourishes ทั่วเมือง บรรยากาศของ Old World ในมาลากาทำให้ผู้เข้าชมที่ต้องใช้เวลาในการสำรวจ เดินเที่ยวชมศูนย์กลางประวัติศาสตร์เพื่อสำรวจร้านเสื้อผ้าเล็ก ๆ และร้านอาหารทาปาส เดินเล่นไปตามท่าเรือและหยุดที่ร้านอาหารริมน้ำเพื่อดื่มด่ำกับอาหารทะเลแสนอร่อย

โบสถ์ใหญ่ Calle Molina Larios จาก Plaza de la Marina มายัง Old Town ซึ่งถูกครอบงาโดยมหาวิหาร อาคารสูงตระหง่านคู่นี้ตั้งอยู่ที่อาคารมัสยิดก่อนหน้านี้ ผู้เข้าชมตื่นตาตื่นใจกับการตกแต่งภายในและความรู้สึกกว้างขวาง ของมหาวิหาร Capilla del Rosario (โบสถ์ที่สามในทางเดินใต้) ประดับด้วยภาพวาดของ เวอร์จินกับนักบุญ โดย Alonso Cano ใน Capilla de los Reyes (โบสถ์นักร้องประสานเสียงคนแรกด้านขวา) และบนผนังด้านซ้ายกำลังคุกเข่าร่างของพระมหากษัตริย์คาทอลิกโดย Pedro de Mena โบสถ์แห่งนี้ยังมีรูปปั้นพระแม่มารีซึ่งเฟอร์ดินันด์และอิซาเบลล่าดำเนินการกับแคมเปญทางทหารของพวกเขา แท่นบูชาที่ทันสมัยใน นายกเทศมนตรี Capilla มีฉากกิเลสจาก ค.ศ. 1580 คณะนักร้องประสานเสียงเป็นที่จดจำโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแผงลอยศตวรรษที่ 17 แกะสลักอย่างประณีต 40 รูปแกะสลักไม้ของนักบุญเป็นงานของ Pedro de Mena และJosé Micael นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยังหอคอย North Tower ที่มีความสูง 86 เมตรเพื่อชมทิวทัศน์อันสวยงาม

สวนพฤกษศาสตร์ La Concepcion ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1855 โดย Marquis และ Marchioness of Loring บริเวณที่งดงามเหล่านี้เต็มไปด้วยพืชพรรณเขตร้อนแบบเมดิเตอร์เรเนียนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน พันธุ์พืชที่พบในสวนมาจากทั่วทุกมุมโลก La Conception ให้บริการทิวทัศน์ที่หลากหลาย Historical Gardens ครอบคลุมพื้นที่ 3 เอเคอร์ของสวนสไตล์โรแมนติกที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ที่ผิดปกติพืชเขตร้อนและดอกไม้ที่แปลกใหม่ ล้อมรอบสวนประวัติศาสตร์มีพื้นที่ 23 เฮกตาร์ซึ่งมีการจัดแสดงพิเศษเช่น "Plants of the Region" และ "Around the World in 80 Trees" Hibiscus Avenue เป็นทางเดินดอกไม้ที่นำไปสู่ตอนเหนือสุดของสวน สวน Gonzalez-Andreu จัดแสดงพืชนานาพันธุ์กว่า 50 ชนิดจากเกาะโซโลมอนโปลินีเซียจีนญี่ปุ่นออสเตรเลียบราซิลและเม็กซิโก สำหรับสถานที่ที่มีเสน่ห์ในการพักผ่อน Wisteria Arbor มีความสวยงามเป็นพิเศษเมื่อออกดอกช่วงปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายน

Castillo de Gibralfaro ตั้งอยู่บนยอดเขา Mount Gibralfaro เหนือ Alcazaba อย่างโดดเด่นเป็นป้อมปราการมัวร์ยุคกลางอีกแห่ง Abd-al-Rahman III กาหลิบแห่ง Cordoba สร้างปราสาทขึ้นในศตวรรษที่ 10 ในบริเวณประภาคารฟินีเซียน ชื่อนี้มาจากคำว่า "gebel-faro" (คำภาษาอาหรับและภาษากรีกหมายถึง "rock of the lighthouse") สุลต่านแห่งกรานาดา (Yusef the First) ได้ขยายป้อมปราการขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 14 แต่กัสติลโลเดอกัฟฟาโรโร่มีชื่อเสียงที่สุดในการล้อมสามเดือนโดยคาทอลิกพระมหากษัตริย์เฟอร์ดินานด์และอิซาเบลลา ภาพของอาคารนี้จะปรากฏบนธงของMálagaและธงของจังหวัด

Basílica Nuestra Señora de la Victoria อยู่ทางเหนือของ พิพิธภัณฑ์ Picassoถึงโดย Calle de la Victoria คริสตจักรยุคบาโรกในศตวรรษที่ 17 นี้เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่สำคัญที่สุดในมาลากา อนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์ที่ระบุไว้ Basilica ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่พระมหากษัตริย์คาทอลิกล้อมเมืองMálagaระหว่าง Reconquest โบสถ์ประกอบด้วย ศาลพระแม่มารีย์แห่งชัยชนะ กับศตวรรษที่ 15- รูป Virgen เดอลาวิกตอเรียนักบุญอุปถัมภ์ของเมือง รูปเป็นของขวัญจากจักรพรรดิแมกซีมีเลียนฉันกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ ในบรรดาภาพวาดและประติมากรรมตกแต่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไฮไลท์เป็นสองประติมากรรมโดย Pedro de Mena อีกชิ้นที่ต้องดูคือ แท่นบูชาของ San Francisco de Paula โดย Luis Ortiz de Vargas มหาวิหารบ้านบางส่วนของสมบัติศิลปะภายในห้องโถงนิทรรศการ

จาก Alameda ถนนด้านข้างนำไปทางเหนือสู่ตลาด Mercado de Atarazanas ซึ่งเป็นตลาดประวัติศาสตร์ของเมือง เพียงแค่ทางเข้าที่มีมูลค่าเห็นในตัวเอง เกตเวย์อิสลามรูปเกือกม้านี้มีขึ้นในศตวรรษที่ 14 และเป็นส่วนที่เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวของอู่เรือมัวร์เก่าเท่านั้น เข้าสู่อาคารตลาดที่กว้างขวางเพื่อค้นหาฉากคึกคักของผู้ขายที่ขายผลไม้สดผักปลาเนื้อและเนยแข็ง ตอนเช้าเมื่อปลาสดมาถึงคือเวลาที่มีชีวิตชีวาที่สุดในการเยี่ยมชม ห้องโถงตลาดได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามหลังจากถูกปิดมาหลายปีแล้วลักษณะโดดเด่นที่สุดของการตกแต่งภายในคือหน้าต่างกระจกสีซึ่งแสดงถึงสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของMálaga อีกพื้นที่หนึ่งสำหรับการช็อปปิ้งและการกินของว่างไม่กี่ช่วงตึกคือ Calle Marques de Lariosถนนเรียงรายไปด้วยร้านเสื้อผ้ามากมายร้านเครื่องประดับร้านรองเท้าร้านขายขนมหวานและคาเฟ่

Centro de Arte Contemporáneo (ศูนย์ศิลปะร่วมสมัย) Karen Bryan / photo modified
พิพิธภัณฑ์ที่ทันสมัยแห่งนี้มีการจัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยในศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่ยุค 50 ถึงปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์ที่มีห้องจัดแสดงนิทรรศการที่สว่างและกว้างขวางพิพิธภัณฑ์แสดงผลงานศิลปะด้วยแสงที่ดีที่สุด คอลเลกชันมีชิ้นส่วนจากการเคลื่อนไหวศิลปะต่างๆและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอการจัดนิทรรศการ ศิลปินที่เป็นตัวแทน ได้แก่ หลุยส์กลาง Olafur Eliasson ดาเมียนเฮิรสท์จูเลียนโอปี่โทมัสเสื้อคลุมและโทมัส Struth พิพิธภัณฑ์ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับงานศิลปะสเปนที่สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 1980 และแสดงผลงานโดยศิลปินชื่อดังในยุคนี้เช่น Juan Muñoz, JoséMaría Sicilia, Miquel Barcelóและ Juan Uslé

อาหารสเปน
ปาเอญ่า (Paella) หรือ ข้าวผัดสเปน เป็นอาหารประจำชาติสเปน ที่ต้องลอง แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงอาหารสเปน (Spanish Foods) เมนูที่หลายคนรู้จัก และ ได้รับความนิยมมากที่สุด หนีไม่พ้นเมนู ‘ปาเอญ่า (Paella)’ หรือ ‘ข้าวผัดสเปน’ ซึ่งจุดเด่นของข้าวผัดสเปนจานนี้ นอกจากความอร่อยแล้วนั้น คือ การเสิร์ฟข้าวผัดบนกระทะแบนขนาดใหญ่ ทรงกลม และ มีหูจับ และแบ่งกันรับประทานระหว่างครอบครัว เพื่อนฝูง และ เพื่อนร่วมงานได้อย่างไม่รังเกียจ ซึ่งคำว่า “ปาเอญ่า (Paella)” นั้น เป็นภาษาสเปน ที่สามารถแปลเป็นไทยได้ว่า “กระทะ” นั่นเอง

อีกหนึ่งเมนูอาหารสเปน แนะนำ ที่ได้รับความนิยมรองลงมาจากเมนูปาเอญ่า หนีไม่พ้น เมนู ตอติญ่า เอสปายอล่า (Tortilla Española) หรือที่คนไทยเรียกกันว่าไข่เจียวสเปน หรือ ไข่เจียวมันฝรั่ง นั่นเอง เมนูอาหารสเปนจานนี้อยู่คู่กับประเทศสเปนมาอย่างช้านาน มีจุดเริ่มต้นจากในสมัยสงคราม โดยทหารสเปนได้ถูกจับตัวไปเป็นจำเลยของฝั่งโปรตุเกส ทางการโปรตุเกสได้เลี้ยงข้าวจำเลยด้วยอาหารง่ายๆ เช่น มันฝรั่ง หัวหอม และ ไข่ แต่ทหารสเปนกลับคิดค้นเมนูไข่เจียวมันฝรั่งขึ้นมาเพื่อรับประทานขึ้นแทนจากวัตถุดิบเหล่านั้นนั่นเอง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเมนูที่ทำง่ายมาก อีกทั้งยังให้พลังงานได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมา เมนูนี้ ก็ได้แพร่หลายไปทั่วโลก ในปัจจุบัน ชาวสเปนนิยมรับประทาน ตอติญ่า เอสปายอล่า กันในมื้อกลางวัน ซึ่งเป็นอาหารมื้อหลังของชาวสเปน ทั้งนี้เนื่องจากอาหารสเปนจานนี้ แม้จะประกอบไปด้วยวัตถุดิบแค่ ไข่เจียว มันฝรั่ง น้ำมันมะกอก เท่านั้น แต่กลับให้พลังงานสูง และ อิ่มท้อง

แน่นอนว่าหากมาท่องเที่ยวประเทศสเปน สิ่งที่นักท่องเที่ยวพบเห็นกันอย่างเกลื่อนเมืองมากพอๆ กับ มหาวิหาร และ โบร์ถต่างๆ คือ “ฮามอน อิเบอริโค (Jamon Iberico)” หรือ ที่คนไทยรู้จักกันในนาฒ “แฮม” ที่แพงที่สุดในโลก ซึ่งแฮมฮามอน อิเบอริโค นี่ เป็นอาหารสเปนที่สามารถพบเจอได้ตามร้านอาหารภัตตาคารหรูของประเทศ เนื่องจากมีราคาแพง อยู่ที่ประมาณ 5,000 – 7,000 บาทต่อกิโลกรัม
ฮามอน อิเบอริโค (Jamon Iberico) เป็นแฮมที่มาจาก หมูดำไอบีเรีย (Iberico Black Pig) ซึ่งถูกเรียกกันเป็นจำนวนมากที่ประเทศสเปน อีกทั้งยังมีวิธีเลี้ยงที่ค่อนข้างยาก โดยจะเลี้ยงหมูดำ 1 ตัว ต่อ 1 เอเคอร์เท่านั้น เพื่อให้หมูดำเหล่านี้ ได้กินอาหารอย่างสมบูรณ์ที่สุด อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า แค่เลี้ยงหมูอย่างเดียวก็ได้แฮิมแล้ว เพราะก่อนที่จะได้เป็น ฮามอน อิเบอริโค (Jamon Iberico) อาหารสเปนชื่อดังนี้ พ่อครัวต้องทำการหมักเนื้อด้วยเกลือ อย่างน้อย 3 ปี ก่อนที่สามารถนำออกมาขายได้ ซึ่งเขาว่ากันว่า เนื้อแฮมนี้ เทื่อเข้าสู่บ้านแล้ว แทบจะละลายในปากเลยก็ว่าได้

กัมบัส อัล อาคิโย่ (Gambas al Ajillo) หรือ เมนูกุ้งผัดกระเทียมสไตล์สเปนนี่ เป็นเมนูอาหารสเปนแนะนำ ที่มักจะพบเห็นกันบ่อยๆ ในร้านอาหารกึ่งบาร์ หรือ ร้าน Tapas เพราะเมนูนี้ เป็นอาหารที่ชาวสเปนนิยมรับประทานกันพร้อมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือ ที่บ้านเราเรียกกันว่าอาหารกับแก้ม คำว่า ‘Gambas al Ajillo’ สามารถแปลเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างตรงตัวว่า ‘Gralic Shimp’ หรือ ‘กุ้งกระเทียม’ ซึ่งวิธีการทำนั้น คือการนำเอากุ้งแช่บ๊วย ผัดกับน้ำมันมะกอก ซอสกระเทียมเจียว และ เติมรสชาติให้จัดจ้านขึ้นด้วยส่วนผสมของเครื่องเทศ เช่น พริกแห้ง แค่นี้ก็ทำให้ได้เมนูอาหารสเปนทานเล่น ที่มาพร้อมกับเนื้อกุ้งชุ่มฉ่ำ และ น้ำซอสหอมกลิ่นกระเทียมแบบสะใจ และยิ่งทานคู่กับขนมปังกระเทียวม จะยิ่งสามารถเติมเต็มรสชาติให้อร่อยได้อีกเป็นเท่าตัว

พิสโต (Pisto) หากมองเผินๆ เมนูนี้อาหารสเปนจานนี้อาจจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกับเมนูสตูว์ Ratatoullie ของประเทศฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม พิสโต เป็นอาหารสเปนขึ้นชื่อ ที่ชาวสเปนนิยมรับประทานกันในมื้อกลางวัน โดยจะเป็นอาหารจานหลัก มักจะเสิร์ฟพร้อมกับไข่ดาว ขนมปัง และ แฮม อาหารสเปนจานนี้ แม้หน้าตาจะดูไม่น่ากินเท่าไหร แต่กลับอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย เพราะ พิสโต อาหารสเปนนี่เอง เป็นสตูว์ ที่มีส่วนประกอบหลัก คือ ผักสายพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มะเขือม่วง, ซูกินี, หัวหอม, มะเขือเทศ, พริกแดงและเขียว จากนั้นจึงใส่น้ำมันมะกอกไปเป็นจำนวนมาก
.jpg)
เมื่อพูดถึงขนมหวานที่มาจากประเทศสเปน เชื่อว่านักท่องเที่ยวหลายคนต้องคุ้นเคยกับขนมชูโรส (Churros) ขนมแป้งทอดแท่งๆ ที่โรยน้ำตาลไอซ์ซิ่ง อย่างแน่นอน แต่รู้ไหมคะว่าจริงๆ แล้ว ขนมหวานจากประเทศสเปนนั้น ยังมีอีกหลฃายเมนู โดยเมนูที่ได้รับความนิยม จนกลายเป็นอาหารสเปนที่หากินได้ทั่วไปนั้น หนีไม่พ้น เมนู “เลเชฟริตา (Leche frita)” หรือ “เมนูนมทอด” เป็นอาหารสเปน และ ขนมจากประเทศสเปนทางตอนเหนือที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กับขนมชูโรส (Churros) ที่หลายคนรู้จัก เลเชฟริตา (Leche frita) ทำมาจากนมสด

อีกหนึ่งเมนูอาหารสเปนซีฟู้ดชื่อดังนั้น ได้แก่ เมนูหนวดปลาหมึกยักษ์ซอสปราปิก้า ที่ชาวสเปนมีชื่อเรียกกันว่า “ปาปูอะ ลากัลเลกา (Pulpo a la gallega)” ซึ่งเมนูดังกล่าว เป็นเมนูอาหารสเปนที่มีต้นกำเนิดมาจากแคว้นกาลิเซี่ยน (Galician) โดยในปัจจุบัน ชาวสเปนจะนิยมรับประทานเมนูนี้ในพิธีฉลองนักบุญองค์อุปถัมภ์ (the patron saint festivities) ที่เมืองลูโก้นั่นเอง

อีกหนึ่งเมนูอาหารสเปน หน้าตาแปลกประหลาด และ หาทานได้ยาก ดังนั้น หากมีโอกาสไปเที่ยวสเปนต้องไม่พลาดนั้น ได้แก่ เมนูกัซปาโช (Gazpacho) หรือ เมนูซุปมะเขือเทศเย็น ซึ่งเป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากแคว้น Andalusia ทางตอนใต้สุดของประเทศสเปน เมนูนี้เป็นอาหารสเปนที่นิยมรับประทานกันในหน้าร้อน ซึ่งวิธีการทำก็ง่าย โดยการนำส่วนผสม ได้แก่ มะเขือเทศ น้ำส้มสายชู น้ำมันมะกอก หอมใหญ่ กระเทียม แตงกวา และ ขนมปังแห้งกรอบ มาปั่นรวมกัน และปรุงรสด้วยซอสพริก หรือ พริกแห้ง จากนั้นจึงนำไปแช่เย็นพร้อมเสิร์ฟ อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ในปัจจุบัน นอกเหนือจากมะเขือเทศ บางร้านยังใช้ส่วนผสมสร้างสรรค์อื่นๆ เช่น ผักฝรั่ง แตงโม หรือ แตงกวา เป็นต้น
.jpg)
เมนูอาหารสเปน ที่เรียกได้ว่าเป็น Comfort Food ของชาวสเปนก็ว่าได้นั้น คือ เมนูคร็อกเก้ (Croquette) ซึ่งเป็นเมนูที่หาทานได้ง่ายในร้านอาหารกึ่งบาร์ ซึ่งชาวสเปนจะนิยมรับประทานคู่กับแอลกอฮอล์เป็นเมนู Tapas หรือ เมนูกับแก้มนั่นเอง คร็อกเก้ (Croquette) เป็นเมนูอาหารที่มีต้นกำเนิดที่ประเทศฝรั่งเศส แต่มีองค์ประกอบ และ วัตถุดิบที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยคร็อกเก้ จากประเทศฝรั่งเศสจะมีมันฝรั่งเป็นเบสหลัก ในขณะที่คร็อกเก้ ของสเปน จะมีซอสขาวที่เรียกว่า Béchamel sauce ซึ่งมีรสชาติเค็มเล็กน้อย เป็นส่วนผสมหลัก ทำให้เนื้อด้านในมีความครีมมี่ และ สบายท้องมากกว่า

นอกจากอาหารสเปนขึ้นชื่อที่ได้กล่าวมาในข้างต้นแล้ว ประเทศสเปนยังมีเครื่องดื่มประจำชาติที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กับเมนูอาหารเลย ซึ่งเครื่องดื่มดังกล่าวได้แก่ แซงเกรีย (Sangria) โดยคำว่า ‘แซงเกรีย’ นั้น มีความหมายว่า ‘เลือด’ ทั้งนี้เนื่องจากเครื่องดื่มนี้ มีสีแดงเข้ม ซึ่งเกิดจากส่วนผสมหลักคือไวน์แดง พร้อมผสมผลไม้หลากชนิด เพื่อเพิ่มกลิ่น และ รสชาติที่หอมหวานมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้เครื่องดื่มแซงเกรียจะเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมในประเทศสเปน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยว แต่ จริงๆ แล้วเครื่อมที่ชาวสเปนนิยมดื่มกันมากกว่าแซงเกรียนั้น คือ “Mosto” เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ผสมแฮลกอฮอลล์ ทำมาจากองุ่นที่ได้หมักเบ่า และเก็บขึ้นก่อนที่จะพร้อมสำหรับกระบวนการทำไวน์


Zenia Boulevard

La Roca Village

Arenas de Barcelona

Centre Comercial L'Aljub

Centro Comercial Plaza del Duque

Miramar Centro Comercial

แบรนด์เนมของประเทศสเปน
Zara
กษัตริย์ของแบรนด์สเปน Zara เป็นอัญมณีในมงกุฎของยักษ์ Inditex เสื้อผ้าสเปนซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์สเปนของ Pull & Bear, Stradivarius และ Bershka เพื่อชื่อ แต่เพียงเล็กน้อย ซาร่าขายเสื้อผ้าสตรีผู้ชายและเด็กรวมทั้งหน่อไม้ที่บ้านยอดนิยม Zara Home แฟชั่นเป็นส่วนผสมของสไตล์ล่าสุดจากหน้าแคทวอล์และการออกแบบคลาสสิกและการตัดที่เหมาะสำหรับการทำงานหรือการเที่ยวชมในช่วงสุดสัปดาห์

Bimba y Lola
แบรนด์สตรีนิยมของชาวสเปนที่ก่อตั้งขึ้นโดย Uxia และ Maria Dominguez เป็นข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบที่มีสีสันสดใสและชิ้นขี้เล่น ก่อตั้งขึ้นใน 2005 พี่น้องสตรีที่มีชื่อว่าแบรนด์หลังจากสุนัขเลี้ยงสัตว์ของตนเองและมีอารมณ์อ่อนโยนเหมือนกันทั่วทั้งชุดเสื้อผ้า ห่างไกลจากแบรนด์ที่แปลกใหม่ แต่ Bimba y Lola ได้กลายเป็น บริษัท ที่ชื่นชอบในแวดวงแฟชั่นเพลิดเพลินไปกับการแต่งเติมที่เร่าร้อนในแบบที่ชอบ สมัย นิตยสาร

Mango แบรนด์แฟชั่นรายใหญ่อันดับ 2 ของสเปน เริ่มจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะเคหะสิ่งทอ และของใช้ของตกแต่งบ้าน เมื่อเดือนเมษายน 2564 หลังจากที่แบรนด์แฟชั่นขนาดใหญ่ของโลก อย่าง Zara ในเครือบริษัท Inditex ของสเปน และ H&M ได้ทำการจำหน่ายสินค้าประเภทดังกล่าวมาก่อนหน้านี้

เดอสิกัวร์ (Desigual) แบรนด์แฟชั่นจากบาร์เซโลนา กำลังขยายการคอลลาบอเรชันออกไปอีกมากมาย โดยได้ร่วมมือกับ Hed Mayner นักออกแบบแฟชั่นชาวอิสราเอล เพื่อแนะนำแคปซูลคอลเล็กชั่นที่ไม่แบ่งแยกเพศ ประกอบด้วย เสื้อผ้าสำเร็จรูปพร้อมกระเป๋าแคนวาส และรองเท้าทรงแมรี เจน (Mary Jane)
.jpg)
LOEWE ถือกำเนิดขึ้นในสตูดิโอเล็กๆ ของเมืองมาดริด ประเทศสเปน ในช่วงปี 1846 จากการรวมกลุ่มกันของช่างหนังชาวสเปน ทว่าชื่อของแบรนด์กลับไม่ได้มาจากชื่อของช่างฝีมือชาวสเปนคนหนึ่งคนใด แต่มาจากช่างหนังชาวเยอรมันอย่าง Heinrich Loewe Rösberg ที่เข้าร่วมกลุ่มในช่วงปี 1876 ต่างหาก กระทั่งในอีก 20 ปีให้หลัง LOEWE ก็เริ่มมีร้านค้าเป็นของตัวเอง และค่อยๆ เป็นที่รู้จักขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางผู้คนที่หลงใหลเครื่องหนังคุณภาพสูง

Massimo Dutti (มาสสิโม ดุตติ) แบรนด์เสื้อผ้าระดับหรูสัญชาติสเปน เริ่มแรกทางแบรนด์เปิดตัวด้วยการทำเครื่องแต่งกายสำหรับผู้ชายเท่านั้น ต่อมาในปี 1995 เริ่มเปิดตัวคอลเลกชันสำหรับผู้หญิง โดยดีไซน์เอกลักษณ์ของแบรนด์ที่โดดเด่นคือ การออกแบบเสื้อผ้าสไตล์เออร์เบิร์นและลำลองที่เน้นความสบาย ใส่ง่าย สำหรับคนทุกระดับ
.jpg)
OYSHO เป็นแบรนด์เครือเดียวกับซาร่า ส่งตรงจากสเปนเลยนะ คือเสื้อผ้าเขาดีมว้ากกกกแบบมากๆ อยากให้มาดูเองจริงๆนะ 3 ข้อที่อยากให้มาช้อปที่นี่ ที่นี่แบ่งโซนร้านไว้ชัดเจนดีนะ มี 3 โซนด้วยกัน คือโซนชุดว่ายน้ำ ชุดนอน และชุดชั้นใน ชอบเสื้อผ้าที่นี่นะ มันดูตัวเล็กตัวน้อยน่าร้าก แต่บางสามารถเอาไปใส่เที่ยว ใส่ออกงานได้นะ เก๋ๆ ราคาแอบแรงอยู่นะบางตัว แต่เทียบกับคุณภาพผ้าแล้วนั้น ถือว่าคุ้มค่าา
